แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ: หากแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานนานเกินไป หรือแรงดันไฟฟ้าต่ำกว่าค่ามาตรฐาน อาจทำให้ระบบไฟฟ้าทำงานผิดปกติ
ไดร์ชาร์จเสียหรือทำงานผิดปกติ: ไดร์ชาร์จมีหน้าที่ผลิตกระแสไฟไปชาร์จแบตเตอรี่ หากเกิดความเสียหาย ไฟเตือนจะโชว์ขึ้น
สายพานไดร์ชาร์จหย่อนหรือขาด: สายพานที่หลวมเกินไปอาจทำให้ไดร์ชาร์จหมุนไม่เต็มประสิทธิภาพ หรือหากขาดก็จะไม่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เลย
สายไฟหรือขั้วต่อมีปัญหา: สายไฟขาด ขั้วแบตเตอรี่หลวม หรือมีคราบสกปรก อาจส่งผลให้ไฟฟ้าไม่สามารถไหลผ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ฟิวส์หรือรีเลย์เสีย: อุปกรณ์ป้องกันกระแสไฟฟ้าในระบบอาจชำรุด ทำให้ไดร์ชาร์จไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
ตรวจสอบ แรงดันไฟแบตเตอรี่ โดยใช้มัลติมิเตอร์วัดแรงดันไฟฟ้า แบตเตอรี่ที่ดีควรมีแรงดันอยู่ที่ประมาณ 12.4 - 12.7 โวลท์ เมื่อดับเครื่องยนต์ และเมื่อสตาร์ทเครื่องควรมีแรงดันอยู่ที่ 13.8 - 14.5 โวลท์ หากค่าต่ำกว่านี้ อาจเป็นปัญหาที่ไดร์ชาร์จหรือแบตเตอรี่เอง
ตรวจสอบ สายพานไดร์ชาร์จ ว่าอยู่ในสภาพดีหรือไม่ หากสายพานหย่อนหรือขาด ควรเปลี่ยนใหม่ทันที
ตรวจสอบ ขั้วแบตเตอรี่ ว่ามีคราบสกปรกหรือขั้วหลวมไหม หากพบคราบออกไซด์ ควรทำความสะอาด
ใช้เครื่องสแกน OBD2 เชื่อมต่อกับระบบ ECU เพื่อตรวจสอบรหัสความผิดพลาดของไดร์ชาร์จหรือระบบไฟฟ้า
ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น เช่น ไฟหน้า, วิทยุ, แอร์ เพื่อประหยัดพลังงานแบตเตอรี่
ตรวจสอบสายพานไดร์ชาร์จ หากขาด อาจต้องเรียกช่างหรือรถลากเพื่อซ่อมแซม
ใช้แบตเตอรี่สำรอง หากมีแบตเตอรี่สำรองหรือสามารถพ่วงแบตเตอรี่จากรถคันอื่นได้ อาจช่วยให้รถสามารถขับต่อไปได้ในระยะสั้น
ขับรถไปยังอู่ซ่อมที่ใกล้ที่สุด โดยหลีกเลี่ยงการดับเครื่องยนต์ระหว่างทาง
ตรวจเช็กไดร์ชาร์จเป็นประจำ โดยเช็คแรงดันไฟฟ้าทุก 6 เดือน
ตรวจสอบสายพานไดร์ชาร์จ ว่ามีรอยแตกร้าวหรือไม่ หากเริ่มเสื่อมสภาพ ควรเปลี่ยนทันที
รักษาขั้วแบตเตอรี่ให้สะอาด ป้องกันการเกิดออกไซด์ที่อาจทำให้ไฟฟ้าไหลเวียนไม่ดี
หลีกเลี่ยงการใช้ไฟฟ้าเกินความจำเป็น เช่น การเปิดไฟหรือระบบเสียงเป็นเวลานานโดยไม่ติดเครื่องยนต์
เปลี่ยนแบตเตอรี่เมื่อถึงเวลา แบตเตอรี่ที่เสื่อมอาจส่งผลให้ไดร์ชาร์จทำงานหนักขึ้นจนเสียหายเร็วขึ้น